เป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย เทรนด์ใหม่หรือภัยร้ายของลูก
ธิดา พิทักษ์สินสุข
ภาพจากthecutekid.com |
อาการร่วมของเป็นหนุ่มเป็นสาวเกินวัยมักออกมาในรูปแบบของการแต่งกาย การ แต่งหน้าทาปาก ทาเล็บ ทำสีผม การโฆษณาชวนเชื่อ ดูจะมีอิทธิพลต่อพวก “ก่อนวัย” ได้ดี เครื่องประทินผิว และเสื้อผ้าเครื่องประดับ ล้วนแล้วแต่ทำให้ต้องสิ้นเปลืองเงินทอง แถมยังปิดปังความน่ารักน่าเอ็นดูของวัยเด็กไปอย่างน่าเสียดาย
ในบ้านที่มีฐานะไม่ดีนักยิ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เด็กๆ หลายคนต้องเจียดเงินค่าอาหารกลางวันที่บำรุงกำลัง บำรุงสมอง ไปซื้อเครื่องสำอาง เสื้อ ผ้า แล้วเครื่องสำอางที่พอมีกำลังซื้อ คุณภาพก็เป็นไปตามสนนราคาที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวพรรณอ่อนใสของวัยแรกรุ่นอีกด้วย หากสตางค์ไม่พอก็อาจเป็นที่มาของการหาเงินมาผิดวิธี เพาะนิสัยของความมือไว หยิบฉวยเงินทองของเพื่อนของพ่อแม่เพื่ออุปกรณ์สู่ความเป็นหนุ่มเป็นสาว เสื้อผ้าที่ทำให้สะท้อนความเป็นหนุ่มเป็นสาวกว่าวัยนั้นส่วนใหญ่มักจะเน้นการแสดงทางเพศที่ชัดเจน เช่น เสื้อคอลึก รัดรูป กระโปรงสั้น กางเกงเอวต่ำ อย่างนี้จะทำให้เกิดการถึงเนื้อถึงตัวกันได้โดยง่าย การเป็นหนุ่มเป็นสาวแบบนี้ถือว่าเป็นภัยร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย การเป็นหนุ่มเป็นสาวเกินวัยแบบนี้ดูไม่เป็นที่น่าเอ็นดูสำหรับผู้หลักผู้ใหญ่เข้าข่ายแก่แดดแก่ลม สำหรับเพื่อนวัยเดียวกันก็ไม่วายโดยหมั่นไส้ ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งจนถึงขั้นทำร้ายกันก็มีให้เห็นกันอยู่
แต่หากความเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัยนั้น เป็นการเติบโตที่แสดงออกถึงความสามารถของคิดการพูดที่เป็นเหตุผล อย่างเช่นที่เราเห็นเด็กพูดจาฉะฉานแสดงความคิดเห็นที่ได้อย่างน่าฟัง แสดงออกถึงศักยภาพในการค้นหาความรู้และการลงมือทำสิ่งต่างๆ ที่สะท้อนมุ่งมั่นตั้ง ใจจริง เช่น เด็กที่สามารถประกอบและบังคับหุ่นยนต์ที่ประดิษฐ์ขึ้นด้วยตนเอง เด็กที่พยายามค้นหาวิธีและนำกลุ่มอาสาสมัครเด็กด้วยกันช่วยกันกำจัดลูกน้ำยุงลายในชุมชน การช่วยเหลือและรับผิดชอบภารกิจของครอบครัว เช่น ช่วยส่งของ จัดหน้าร้าน อย่างนี้ถือว่าการเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัยที่น่าชื่นชม น่าจะเป็นเทรนด์ใหม่ที่เราควรปลูกฝังให้เกิดขึ้นกับลูกหลาน เรา
อะไรเป็นเหตุและหนทางให้ลูกหลานของเราหนุ่มสาวเกินวัยจนเป็นภัยร้าย
การแสวงหาตัวแบบในช่วงวัยแรกรุ่น
เด็กๆ ในช่วงของวัยแรกรุ่นนั้นเป็นวัยที่ต้องการหาแบบอย่าง หาฮีโร่ที่มากไปกว่าคนในครอบครัว ดารา นักร้อง นักแสดงกลายเป็นฮีโร่ในใจเด็ก คนเก่ง คนเด่น คนดัง ของวัยแรกรุ่น คือคนที่อยู่หน้าจอทีวี เพราะทีวีกลายเป็นเพื่อนสนิทที่เข้ามาคลุกคลีอยู่ในบ้านและดูเหมือน ว่าจะมีเวลาอยู่กับเด็กๆ มากกว่าคนในครอบครัว สื่อจึงมีอิทธิพลต่อค่านิยม ต่อแรงจูงใจของเด็กๆ โดยไม่รู้ตัว นักร้องนักแสดงนำเสนอรูปลักษณ์ภายนอกที่มาพร้อมกับความสุขความบันเทิง ทำให้เด็กหลายคนหลงไหลไปตามกระแสความเด่นความดัง เขาเหล่านั้นจึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาของเด็กๆ ในแต่ละวัน ในขณะที่พ่อแม่ของลูกวัยทั้งพรีทีน และวัยทีนเอจ ก็ดูจะกลายเป็นความน่ารำคาญใจเพราะไม่เข้าใจวิธีการดูแลลูกวัยนี้ ที่โตเร็วจนพ่อแม่ปรับตัวไม่ทัน ยังคงจ้ำจี้จ้ำไชให้เป็นที่หงุดหงิดใจวัยโจ๋ทั้งหลาย เด็กๆ ก็ค่อยๆ เคลื่อนใจออกจากบ้านสู่สังคมของคนวัยเดียวกัน สู่กระแสของวัยรุ่น บนเวทีของนักร้อง นักแสดงวัยรุ่นนั้นนอกจากนำเสนอความสามารถในวิชาชีพแล้วยังนำเสนอการแสดงออกที่เป็นความโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย กริยาท่าทาง การพูดจา ลูกหลานของเราก็เลียนแบบการพูดการแสดง ออกที่เกินจริงมาสู่ชีวิตจริง การนำแบบอย่างที่เห็นแล้วโดนใจวัยรุ่น จึงเป็นส่วนที่ทำให้เด็กๆ ของเราเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย
ถ้าพ่อแม่มีความใกล้ชิดกับลูก ไปร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้นสำหรับวัยของลูกบ้าง เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ชมคอนเสริสต์ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันจากสิ่งที่เห็นกับลูกและเพื่อนของลูก จะมีส่วนทำให้เราเข้าใจความต้องการของวัยของลูกที่เรามักจะลืมเลือนไป และทำให้เราสามารถจัดใจเราให้ประนีประนอมกับลูกได้ ไม่ตึงไม่หย่อนเกินไป ลูกก็จะเปิดใจรับฟังคำแนะนำของเราได้ดีกว่าพ่อแม่ที่เอาแต่สั่งสอนโดยไม่รู้ ไม่เข้าใจเพราะไม่ได้คิดที่จะเข้าไปอยู่ในใจลูก
อ่อนซ้อมต่อการคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจเลือก
เด็กๆ ที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ฝึกการคิดได้ลงมือทำ ได้ตัดสินใจมาตั้งแต่เล็กๆ มีพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่ไม่ค่อยให้เด็กได้ลงมือทำอะไรต่ออะไรที่ควรทำได้ตามวัย พ่อแม่ที่ใจร้อน ขี้รำคาญมักไม่รอให้ลูกคิด ไม่รอให้ลูกทำด้วยตัวเอง ถือว่าเป็นการทำลายโอกาสที่ลูกจะได้เติบโตทางความคิด ทำให้ง่ายที่จะถูกชักจูง หรือเชื่อสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาโดยการไตร่ตรอง ไม่รู้ว่าจะคิดจะตัดสินใจอย่างไร จึงเป็นไปตามกระแสโดยไม่รู้ตัว
การที่พ่อแม่ได้ฝึกฝนให้ลูกคิด ไตร่ตรอง รับฟังลูก จะทำให้ลูกเป็นคนที่คิดก่อนลงมือทำเสมอว่าสิ่งนี้ดีหรือไม่ดี ควรหรือไม่ควรทำ มีประโยชน์หรือไม่มี การหมั่นวิเคราะห์บ่อยๆ จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของลูก เมื่อเด็กๆ เริ่มโตขึ้นพ่อแม่ก็จะไม่มีโอกาสได้ติดตามไปช่วยคิด ช่วยทำเหมือนตอนลูกยังเล็ก เราต้องฝึกให้ลูกได้เติบโตอย่างคนที่คิดเป็นเพื่อพร้อมที่จะยืนได้ด้วยตนเองอย่างมั่นคง
ห่างเหินต่อการพูดคุยเพื่อสร้างค่านิยมร่วมกัน
เด็กหลายต่อหลายคนขาดโอกาสที่ได้พูดคุยกันเพื่อให้ลูกได้รู้ถึงบรรทัดฐานของครอบ ครัวในเรื่องการแต่งกาย การวางตัวที่ชัดเจน ขาดโอกาสดูแลให้ลูกปฏิบัติตนตามค่านิยมของครอบครัว รวมไปถึงพ่อแม่เองก็ไม่ชัดเจนในเรื่องค่านิยมเพราะตามกระแสไปเรื่อย หรือสนุกที่จะแต่งตัวลูกให้เกินวัยมาตั้งแต่วัยอนุบาลก็ให้ลูกทำสีผม ไฮไล้ท์ ทาเล็บ แต่งตัวเป็นสาวกว่าวัยไปเป็นสิบปี ทำให้ลูกเกิดความสับสนคิดว่าการแต่งเนื้อแต่งตัวเกินวัยนี้เป็นสิ่งที่ดี พ่อแม่ต้องตระหนักว่าตนนั้นมีบทบาทสำคัญมากต่อการสร้างค่านิยมที่ดีให้กับลูก ให้พูดสิ่งที่เป็นค่านิยมที่ถูกต้องของครอบครัวให้ลูกฟังบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าของคนอยู่ที่ความดี ความ สามารถ ความมุ่งมั่น ค่านิยมในเรื่องของการแต่งกาย กริยามารยาทที่ครอบ ครัวของเราเห็นว่าเหมาะสม และตัวเราก็ต้องมีการปฏิบัติที่ตรงกับสิ่งที่พูด และชื่นชมเมื่อลูกปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม ชวนลูกพูดคุย วิเคราะห์ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงสิ่งที่เห็นจากผู้คนรอบตัว และที่ปรากฏในรายการทีวี ในแมกกาซีนต่างๆ และเชื่อมโยงถึงการปฏิบัติของลูก
ไม่ได้รับการเห็นคุณค่า จึงแสวงหาความโดดเด่น
ในช่วงวัยแรกรุ่นเป็นวัยที่ร่างกายกำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ความเป็นหนุ่มเป็นสาว จะโตก็ไม่โตเสียทีเดียว ส่งผลถึงภาวะจิตใจที่สับสนในตนเอง การวางตัวก็กระโดกกระเดก จิตใจของเด็กวัยนี้จึงแสวงหาผู้นำทางความคิดและการกระทำ ถ้าพ่อแม่มีความใกล้ชิด หมั่นพูดคุยกับลูกจะมีหลักคิดและหลักยึด ไม่เป็นพ่อแม่ที่จะคอยออกคำสั่ง กำกับ หรือปล่อยปละละเลย ในขณะที่ธรรมชาติของเด็กวัยนี้พยายามที่จะแสวงหาเอกลักษณ์ของตัวเอง หากเราช่วยให้ลูกของเราได้ค้นพบความสามารถและมีความพึงพอใจในตัวเอง บอกตัวเองได้ว่าตนเป็นที่พึงพอใจของคนในครอบครัวและคนรอบข้าง ลูกก็จะมีความมั่นคงทางจิตใจ ไม่ต้องทำตัวให้แปลกเพื่อเรียกร้องความสนใจ หรือทำให้ตัวดูเด่นด้วยวิธีต่างๆที่น่าดูบ้างไม่น่าดูบ้าง ไม่ต้องแต่งตัวโฉบเฉี่ยวเพื่อสนองความรู้สึกพร่องในตัวเอง
แต่หากลูกของเราเติบโตมาด้วยความรู้สึกว่าได้รับความเอาใจใส่ ช่วยให้ค้นพบความสามารถของเขาและเราชื่นชม ให้กำลังใจ รู้สึกว่าพ่อแม่เห็นคุณค่าในตัวเขา ไม่เปรียบเทียบลูกกับพี่หรือน้องตลอดจนคนข้างบ้างให้ลูกรู้สึกด้อยและอิจฉา ลูกก็จะเติบโตอย่างสมวัยพร้อมกับความมั่นคงที่อยู่ภายใน
ให้เวลากับการจับจ่ายมากกว่าให้เวลาดีๆที่บ้าน
สิ่งสำคัญมากที่ทำให้ลูกของเราเติบโตภายใน หรือแสดงออกอย่างสมวัยนั้น ขึ้นกับความรู้สึกที่ดีต่อการมีชีวิตที่อบอุ่น การได้ลงมือทำกิจกรรมร่วมกันอย่างมีความสุขในบ้าน ได้พูดคุยกัน หากแต่เราหาความสุขอย่างง่ายๆ ด้วยการจับจ่ายใช้สอย ไปห้างสรรพสินค้าทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็กๆ ก็จะคุ้นเคยกับชีวิตที่แวดล้อมด้วยแฟชั่น สิ่งสวยงาม เสื้อผ้าแพรพรรณนานาชนิด บทสนทนาของเราก็ล้วนแต่เป็นไปด้วยเรื่องของวัตถุ เรื่องของการบริโภค อย่างนี้ไม่เอื้อให้ลูกเติบโตอย่างคนที่รู้จักคิดอย่างมีวิจารณญาณ อย่างมีสติ เพราะใช้เวลากับความสุขแบบฉาบฉวย
ความรักความอบอุ่นในครอบครัวมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตภายในจิตใจของลูก และส่งผลให้มีการแสดงออกได้น่ารักอย่างสมวัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น